วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Essays for Louis I Kahn

Essay 1 แปลและเรียบเรียงจาก
The Gift of Light
by Quoc Doan

เด็กน้อยช่างสงสัยวัยสามขวบ เป็นบุตรช่างทำกระจกสีชาวยิว จ้องมองเปลวไฟสีเขียวที่กำลังลุกไหม้จากก้อนถ่านหิน มีความประหลาดใจกับแสงที่ปรากฏ แทนที่มันจะเป็นเปลวสีแดงหรือสีน้ำเงินเช่นปกติ ขณะที่เขาค่อยๆ จ้องดูเข้าใกล้เปลวไฟนั้น เผอิญเป็นเหตุให้ก้อนถ่านหล่นตกลงบนฟูกที่เขากำลังนั่งอยู่ เปลวไฟได้ลุกไหม้ขึ้นจนเกือบทำให้ไฟไหม้ท่วมตัวเด็กน้อยคนนั้น กระนั้นก็ตาม เปลวเพลิงได้ไหม้ใบหน้าและมือข้างหนึ่งของเขา จนกลายเป็นรอยไหม้ปรากฏอย่างถาวรในเวลาต่อมา มารดาซึ่งเป็นหญิงที่มีการศึกษาอย่างดีทางศิลปะและประเพณี เชื่อมั่นว่านี่เป็นลางบอกเหตุแห่งอนาคตของเด็กน้อยผู้นี้

ต่อมาเมื่อเขาเติบโตขึ้น ก็ได้กลายเป็นสถาปนิกชั้นแนวหน้าผู้หนึ่งของศตวรรษที่ ๒๐ ด้วยการออกแบบเน้นรูปทรงเรขาคณิตของสถาปัตยกรรม ที่สะท้อนความสัมพันธ์อันดีระหว่างที่ว่าง และ ประโยชน์ใช้สอย คุณค่าการออกแบบที่เด่นชัดจะเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์ที่ผูกพัน กับ แสงธรรมชาติ Louis Isadora Kahn ถูกจัดเป็นสถาปนิกสำคัญ ที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อ ระหว่าง สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ และ หลังสมัยใหม่นิยม ในเวลาต่อมา ผลงานของเขาเป็นที่กล่าวขานและสร้างแรงบรรดาลใจในการเรียนรู้ของสถาปนิกรุ่นหลังตลอดมา ถือว่าเป็นผู้ที่ได้สัมผัส “the gift of light.” อย่างแท้จริง ดังความเชื่อของมารดา

Louis Kahn เติบโตในเมือง Philadelphia สหรัฐอเมริกา เผชิญอุปสรรคต่างๆมากมายกว่าจะได้บรรลุถึงความเป็นอัฉริยะ ในทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ยังต้องคอยระวังในเรื่องบุคคลิก และการโดนล้อเลียนจากรอยแผลเป็นในวัยเด็ก ครูเป็นผู้สร้างความเชื่อมั่นให้เขาในความมีทักษะในการเขียนแบบ เขียนภาพ และยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่น ให้กับตนเองเมื่อชนะการประกวดภาพวาดแห่งเมือง Philadelphia ระหว่างปีการศึกษาสุดท้ายของการศึกษาระดับมัธยม เขาได้เลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม อันเป็นเหตุทำให้เขาตัดสินใจเลิกล้มแผนการที่จะศึกษาต่อด้านจิตรกรรมในมหาวิทยาลัย ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เขาได้รับการเสนอให้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปะ ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เขาเปลี่ยนไปเข้าศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมต่อมา แต่ก็ไม่ละเลยความสนใจต่อจิตรกรรม ซึ่งเขายังคงชื่นชอบอยู่เสมอมา ที่ University of Pennsylvania ..Louis Kahn ศึกษาสถาปัตยกรรมในแนว Beaux-arts อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาการความคิดในการออกแบบของเขาต่อๆมาในภายหลัง หลังจากจบปริญญาทางสถาปัตยกรรม เขาได้มีโอกาศดูงานสถาปัตยกรรมทั่วยุโรป แทนที่จะสนใจสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เขากลับสนใจสถาปัตยกรรมในอดีต เช่น พวกอาคารในเมืองเก่า Carcassonne ของฝรั่งเศส จากประสบการณ์ในครั้งนั้น เขายังหวลรำลึกถึงอยู่เสมอว่า

“It was a great architectural event, centuries ago, when the walls parted and the columns became. The column is the greatest event in architecture, the play of shadow and light , of infinite mystery, The wall is open. The column becomes the giver of light.”

อันเป็นสิ่งเตือนใจถึงอำนาจของ "the gift of light" แสงธรรมชาติ เป็นข้อคำนึงที่สำคัญของการออกแบบโครงสร้างอาคาร ไม่ใช่การเปิดหน้าต่างที่กว้างขวาง หากแต่การให้แสงสอดแทรกเข้าสู่ภายในอาคาร เพื่อการแยกแยะที่ว่างและรูปทรงทางเรขาคณิตของอาคาร การแยกประเภทของที่ว่างอย่างชัดเจน ระหว่างพื้นที่ "serve or master" และพื้นที่ "servant" ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของการออกแบบ Richardson Medical Laboratory (1957-1965) ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย การเสนอบรรยากาศของห้องปฏิบัติการของนักวิทยาศาสตร์ เป็นเช่นเดียวกับห้องเขียนภาพของจิตรกร ควรเป็นที่ว่างที่มีชีวิตชีวาและสุขสบายสำหรับการทำงาน ห้องที่อบอุ่นด้วยแสงธรรมชาติ จึงเป็นความต้องการที่จำเป็น ตามคำอ้างที่ว่า

“No space you can devise can satisfy these requirements. I thought what they should have was a corner for thought, in a word, a studio instead of slices of space.”

เขาจัดเรียงกลุ่มห้องปฏิบัติการ สามกลุ่ม เชื่อมต่อกันด้วยปล่องเป็นที่รวมพื้นที่ของ "servant" ไว้ด้วยกัน ประจำแต่ละกลุ่มของห้องปฏิบัติการ โครงสร้างอาคารที่ออกแบบสนับสนุน เป็นระบบสำเร็จรูป คอนกรีตเสริมเหล็ก ทำส่วนยื่นไว้ตรงมุม เป็นการพัฒนาสุนทรีย์ของโครงสร้างที่ก้าวหน้าในยุคนั้น คุณค่าอย่างเดียวกันในการจรรโลงความเป็นมนุษย์ ด้วยแสงธรรมชาตินี้ ถูกนำมาพัฒนาต่อไป ในงานออกแบบ Salk Institute (1959-1965) ที่ La Jolla เป็นลักษณะของการออกแบบชุมชน แยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนค้นคว้าเป็นอาคารกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองหลัง วางคู่ขนาน มีลานสะท้อนแสงตรงกลาง ไกลออกไปตรงเนินด้านล่าง เป็นส่วนพักอาศัย ทุกอาคารหันรับแสงธรรมชาติโดยตรงจากด้านมหาสมุทรแปซิฟิค Louis Kahn เน้นแสงธรรมชาติ ปรากฏผ่านรูปทรงสถาปัตยกรรมทางเรขาคณิตอย่างชัดเจน งานออกแบบในระยะเริ่มแรก Yale Art Gallery ที่เมือง New Haven ในรัฐ Connecticut เขาให้แสงกระจายเข้าสู่ภายในอาคารในระดับต่ำ ทำให้เพดานซึ่งเป็นโครงประสานของรูปปิระมิดสามเหลี่ยม สะท้อนให้ปรากฏชัดเจน เพดานลักษณะนี้ยังเป็นที่เก็บซ่อนท่อ และกระจายแสงประดิษฐ์ได้ดีอีกด้วย ดังที่เขา กล่าวไว้ว่า

“better distribution of the general illumination without any diminishment of the opportunities for specific illumination.”

ยังเป็นการเน้นความมีอำนาจทางโครงสร้างของอาคารอีกด้วย การใช้รูปทรงหลักทางเรขาคณิต ยังคงเน้นใช้ต่อเนื่องไปถึงโครงการออกแบบ อาคารรัฐบาลที่ Dacca ในประเทศ Bangladesh (1962-1974) เป็นการใช้อิฐเป็นวัสดุหลักของโครงสร้าง เสริมงานคอนกรีตตรงส่วนเจาะ เป็นช่องเปิดขนาดใหญ่ การจัดวางเป็นชั้นซ้อนกันหลายชั้น (layers) เพื่อคุณค่าของแสงธรรมชาติ สอดแทรก กระจาย เข้าสู่ที่ว่างสำคัญๆภายในอาคาร สะท้อนการพัฒนาต่อเนื่อง จากอาคารโบราณในอดีตที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับงานออกแบบอาคารห้องสมุด ที่ Philip Exeter Academy เน้นคุณค่าของแสงธรรมชาติเหมือนกัน กล่าวโดยสรุป ให้ความสำคัญของการออกแบบในแนวคลาสสิค เน้นความพิศวงของแสงธรรมชาติที่ปรากฏภายในและภายนอกอาคาร ที่กำหนดจากรูปทรงทางเรขาคณิตที่เคร่งครัด เป็นการปลุกชีวิตแห่งความรุ่งโรจน์ของสถาปัตยกรรมในแนว Beaux arts เปลี่ยนจากความกลัว "the gift of light" ในอดีตแต่เยาว์วัย มาเป็นความกล้า ในการใช้สร้างสิ่งที่มีคุณค่ากับงานสถาปัตยกรรม ที่ต้องกล่าวขานจนถึงปัจจุบันนี้

Essay 2 แปลและเรียบเรียงจาก
That What You Desire and That What Is Available
by Marchelle Rice
(กรณีศึกษา..The Salk Institue. La Jolla, California, USA.)

Louis Kahn เป็นสถาปนิกชาวยิว อพยพมาจาก Estonia ในรัสเซีย เป็นผู้สร้างสถาปัตยกรรมให้โดดเด่น ในลักษณะของความมีแง่มุมกำแพงและที่ว่าง สร้างความเป็นธรรมชาติของอาคารที่มีรูปทรงที่เคร่งครัด เขาเกิดในปี 1901 ที่รัสเซีย และย้ายมาพำนักในสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน เคยชนะการประกวดวาดภาพและเขียนรูป ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยม ศึกษาและได้รับปริญญาตรีทางสถาปัตยกรรมในปี 1925 จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้รับการสอนในแนว Beaux Arts จากศาสตราจารย์ Paul P. Cret แล้วก็ได้ทำงานในสำนักงานของอาจารย์ท่านนี้ ในระหว่างปี 1929-1930 อิทธิพลทางความคิดบางส่วน ได้รับแรงบรรดาลใจจากเพื่อน Buckminster Fuller และ Frederick Kiesler ในงานออกแบบช่วงปี 1930s และ 1940s. เป็นเวลานานร่วมสามสิบปี ก่อนรับงานออกแบบ The Salk Institute เขาได้ออกแบบอาคารอื่นไว้มากมาย รวมทั้งพวก homes, synagogues, dormitories and medical facilities จากประสบการณ์ของการออกแบบที่ผ่านมา เป็นผลของการพัฒนา ไปสู่งานออกแบบ The Salk Institute. La Jolla, California. ต่อมา เขาเคยกล่าวไว้ว่า
"Inspiration is to express our inclination."

Kahn เชื่อว่าผลลัพท์ของการออกแบบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ plan แต่ขึ้นอยู่กับหลักการออกแบบอื่นอีกมากมาย เช่น form, content, and context ดังนั้น ความประสงค์ทั้งหมดในการออกแบบ The Salk Institute แสดงออกโดยส่วนต่างๆเหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานค้นหาคำตอบ จากปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ได้มุ่งแสวงหาเพื่อชื่อเสียงในการรักษาโรคเหล่านั้นให้หายโดยตรง แต่มุ่งมั่นเพื่อบรรลุความปารถณาแห่งตนเองที่ยิ่งใหญ่เหนือขึ้นไปอีก ฉันใดฉันนั้น สำหรับสถาปนิกเช่นเดียวกัน ดังนั้น ทั้ง Kahn และ Salk เห็นตรงกันว่า นอกเหนือจากการออกแบบ เพื่อการใช้งานแล้ว อาคารจะต้องให้คุณค่าของแรงบรรดาลใจแก่ผู้อยู่และผู้มาเยี่ยมเยียนด้วย เขาจึงไม่สามารถออกแบบอาคารอย่างธรรมดาบนสถานที่นี้ได้ หากต้องการสร้างสิ่งเร้าใจ เพื่อผสมผสานความปารถณาแห่งตน กับความบรรดาลใจของวิทยาการสมัยใหม่ในปัจจุบันด้วย

The Salk Institute จึงถูกสร้างสรรค์ให้เป็นศูนย์กลาง ที่อุทิศเพื่อการศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ คุณค่า และสุขภาพทั้งมวล เพราะถ้า นักวิทยาศาสตร์ ปารถณาเพียงเพื่อหาคำตอบของการขจัดเชื้อโรค อันเป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บของสุขภาพเพียงอย่าง เดียวแล้ว ขบวนการนั้นก็ไม่พอเพียงกับการให้การช่วยเหลือ อย่างที่สุดและเด็ดขาดได้ เหมือนคำกล่าวของ Kahn ที่ว่า "That which you desire and that which is available" ในความหมายสองนัยคือ ความสงบ (Silence) และ ความสว่าง ( Light) รูปทรงของอาคารนี้ ประกอบขึ้นมาจากส่วนต่างๆ ที่แสดงออกมาในรูป ของ สี เส้น รูปทรง แสง และ ความสมดุลป์ของสถานที่ก่อสร้าง ผลลัพท์การออกแบบเขา คือการสร้างภาพของความเหงียบ ความสันโดษ แทนดั่งชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ ที่ใช้ความเหงียบสร้างปัญญาไปสู่การค้นพบความรู้ Kahn พยายามสร้าง สภาพแวดล้อมของการทำงาน ให้เกิดผลทางความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แสง น้ำ และ อากาศ จึงเป็นประโยชน์อย่างเหลือเฟือ ในการแสวงหาความคิดที่จำเป็น ในการค้นหา คำตอบได้ โดยการวางตำแหน่งอาคารในจุดเนินสูงที่หันหน้าสู่มหาสมุทร ซึ่งเป็นบ่อเกิดทางชีววิทยาของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ดังแสงสว่างในความมืด (ในมหาสมุทร) ทำให้เกิดอนาคต (เกิดสิ่งที่มีชีวิต)

ความคิดนี้ ดูออกจะซับซ้อนในความเข้าใจในกรณีของสถานที่ตั้ง แต่ความเรียบง่ายในการจัดองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม พอจะเข้าใจได้จาก ภาพที่มองเห็นจากกลุ่มอาคารที่กระจายในสถานที่ เรียงตามแนวของชายฝั่ง บริเวณที่ลานโล่ง ระหว่างตึกปฏิบัติการ Luis Barragan ภูมิสถาปนิก ชาวแม๊กซิกัน กำหนดให้เป็นลานคอนกรีตแข็งที่ปราศจากต้นไม้ ยกเว้นช่องแบ่งลาน เป็นทางน้ำไหล ลักษณะโดยทั่วไป เสมือนเป็นกระจก หรือ ผืนผ้าใบเขียนภาพของจิตรกร สะท้อนภาพของท้องฟ้าที่ชัดแจ้ง อาคารสร้างความรู้สึกดูมั่นคงต่อการต้านพายุ ที่อาจผ่านเยือนสถานที่ตั้งได้ ในบางโอกาศ วัสดุสำหรับอาคารจึงต้องทนทาน ต่อสภาพ ของดินฟ้าอากาศ ในบริเวณนั้น เช่น ลมพายุ ลมที่มีสารของเกลือเจือปน อากาศที่ร้อนอบอ้าวในบางฤดูของรัฐแคลิปฟอเนีย วัสดุเช่น ไม้สักเคลือบผิว คอนกรีต สำหรับภายนอก และ สเตนเลสสตีล คอนกรีต ไม้สัก สำหรับภายใน ผิวคอนกรีต ที่มีสีค่อนไปทางแดง ใช้กับภายนอก ทำให้ลักษณะอาคารทั่วไป ดูคล้ายอาคารโบราณในสมัยโรมัน (Pozzolana architecture) ที่เขาชื่นชอบ การกำหนดวัสดุไม่มากชนิด ทำให้อาคารที่ปรากฏดูเรียบง่าย แต่ความคิดในรายละเอียดบางส่วน เช่นผนังคอนกรีตสำเร็จ ทำให้แนวรอยต่อและผืนผนังทั้งหมดดูน่าสนใจ การแสดงออกทางความเรียบง่ายของอาคาร ดูเหมือนเป็นการช่วยลดความยุ่งเหยิงในจิตใจของ นักวิทยาศาสตร์ ที่มีความจำเป็นต้องหมกมุ่นอยู่กับปัญหาที่ซับซ้อนเป็นประจำอยู่แล้ว แนวแกนหลักการวางอาคาร อยู่ในแนวตะวันออกและตะวันตก ในแนวแกนหลักของที่ตั้งนี้ เป็นที่ตั้ง อาคารพักอาศัย ลานเปิดโล่ง และอาคารปฏิบัติการ สองหลัง Kahn และ Salk เห็นตรงกันว่า มหาสมุทร และท้องฟ้า เป็นสิ่งที่ได้มาเพื่อตอบสนองให้เกิดแรงบรรดาลใจกับนักวิทยาศาสตร์ ในช่วงเวลาของการพักผ่อนได้อย่างดี เป็นตัวเชื่อมนักวิทยาศาสตร์เข้าไว้กับธรรมชาติ ความ ร่วมมือกันอย่างดี ระหว่าง สถาปนิกกับเจ้าของอาคารเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก คุณค่าต่างๆจึงบังเกิดขึ้น เช่น การเชื่อมบรรยากาศของโลกศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

ในสถานที่นี้ อาคารหลักของโครงการนี้ คือตึกปฏิบัติการสองหลังและอาคารพักอาศัย อาคารปฏิบัติการมีความยาว ๒๔๕ ฟุต เพดานสูง ๑๑ ฟุต มีช่วงพาดยาว ๖๕ ฟุต ใช้ระบบคานชนิด vierendeel truss โครงสร้างอาคารทั้งหมด ออกแบบป้องกันแผ่นดินไหว ตามเทศบัญญัติ อาคารของรัฐแคลิปฟอเนีย ผนังภายในสามารถเปลี่ยนเคลื่อนย้ายได้ เพื่อความเหมาะสมกับ การติดตั้ง หรือ เพิ่มเติมเครื่องมือต่างๆ เหนือเพดานเป็นพื้นที่สำหรับท่อและอุปกรณ์อื่น มีความสูง ๙ ฟุต สามารถเข้าไปตรวจซ่อมความเสียหายได้สะดวก อาคารปฏิบัติการและสถานที่พักอาศัย Kahn จัดเป็นความคิดของพื้นที่ "serve" และส่วนบริการ เช่น ห้องเครื่องระบบน้ำ ห้องแก๊ส ห้องทำ ความร้อน ห้องเครื่องปรับและระบายอากาศ จัดเป็นส่วนพื้นที่ "servant" ของอาคาร Kahn คิดว่า ถ้าไม่แยกส่วนของอาคารดังกล่าวนี้ ส่วนบริการบางสิ่งจะทำความยุ่งเหยิงให้อาคารในภายหลังได้

งานสร้างสรรค์ที่ The Salk Institue นี้เกิดจากบุคคลสองคนที่มีความปารถนาตรงกัน Kahn เป็นศิลปิน ที่มีความคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ในขณะ ที่ Dr. Salk เป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่มีความคิดเป็นศิลปิน มีความต้องการพื้นฐาน คือ ต้องการสร้างสถานที่ เพื่อเชิญศิลปิน เช่น Picasso ให้มาเยือนได้ ด้วยความพากภูมิใจ ทั้งสองมุ่งสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม ที่มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ และเปี่ยมล้นด้วยแรงบรรดาลใจ ในการแสวงคำตอบ จากความมืด ไปสู่ ความสว่าง ความมืดเป็นที่ทำงานของจิตใจ พัฒนาไปสู่ความสว่าง อันเป็นที่ทำงานของกายต่อไป จนบรรลุผล เป็นการค้นหาด้วยแรงปารถนา ที่ไกลเกินจากสิ่งจำเป็นที่ต้องการ จากความเหงียบ นำไปสู่ความสว่าง เป็นความปารถณา ที่จะทำให้บังเกิดขึ้นกับงานสร้างสรรค์ที่ The Salk Institue นี้ Kahn ได้เปิดเผยความปารถนาภายในของตนเอง ออกมาปรากฏในงานออกแบบนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว ก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจในปี ๑๙๗๔ ด้วยผลงานของเขา จะเป็นดังคำกล่าวที่ว่า

"What was has always been, what is has always been and what will has always been"
Bibliography

1. Henderson, Brain. A Delicate Balance. Architecture (July 1993): 46-49. 2. Kieffer, Jeffery, Criticism: A Reading of Louis Kahn's Salk Institute Laboratories, Architecture and Urbanism 271 (1993): 3-17. 3. artists,many. Modern Architecture. New York: Times Press, 1989. 4. Steel, James. Architecture in Detail: Salk Institute, Louis I. Kahn. London: Phaidon Press Limited, 1993. 5. Tyng, Alexander. Beginnings: Louis Kahnนs Philosophy of Architecture. New York: John Wiley and Sons, Inc., 1984. 6. Venturi, Robert, Salk Addition:Pro and Con, Architecture ( July 1993): 41-45. Endnotes (by the author in the original text) 1. Richard Saul Wurman, What will be Has Always Been; Words of Louis I. Kahn (New York: Access,1986), 6.2. Richard Saul Wurman, What will be Has Always Been; Words of Louis I. Kahn (New York: Access,1986), 10.3. James Steele, Architecture in Detail: Salk Institute (London: Phaidon Press Limited,1993), 24 .4. Richard Saul Wurman, What will be Has Always Been; Words of Louis I. Kahn (New York: Access,1986), 6. 5. Richard Saul Wurman, What will be Has Always Been; Words of Louis I. Kahn (New York: Access,1986), 45. 6.. Patrick Pacheco, A Sense of Where You Are, Art and Antiques (December 1990), 117. 7. Pacheco, 117. 8. James Steele, Architecture in Detail: Salk Institute (London: Phaidon Press Limited,1993), 24. 9. Steele, 42,43. 10. Jeff Kieffer, Criticism: a Reading of Louis I Kahn's Salk Institute Laboratories, Architecture and Urbanism (1993), 6. 11. Kieffer, 3. 12. Micheal Crosby, The Salk Institute: Appraising a Landmark,Progressive Architecture (October 1993), 44. 13. Jeff Kieffer, Criticism: a Reading of Louis I Kahn's Salk Institute Laboratories, Architecture and Urbanism (1993), 3. 13. Micheal Crosby, The Salk Institute:Appraising a Landmark, Progressive Architecture (October 1993), 43. 14. Alexander Tyng, Beginnings (New York :John Wiely and Sons,1984), 140. 15. Alexander Tyng, Beginnings (New York :John Wiely and Sons,1984), 140. 16. Micheal Crosby, The Salk Institute: Appraising a Landmark, Progressive Architecture (October 1993), 43. 17. Alexander Tyng, Beginnings (New York :John Wiely and Sons,1984), 140. 18. James Steele, Architecture in Detail: Salk Institute (London: Phaidon Press Limited,1993), 24. 19. Steele, 37. 20. Alexander Tyng, Beginnings (New York : John Wiely and Sons,1984), 140. 21. Ibid., 36 22. Ibid., 4 23. Ibid., 4 24. Micheal Crosby, The Salk Institute: Appraising a Landmark, Progressive Architecture (October 1993), 43. 25. William J.Curtis, Modern Architecture (London: Phaidon Press Limited,1996), 613. 26. Richard Saul Wurman, What will be Has Always Been; Words of Louis I. Kahn (New York: Access,1986), 33. 27. Richard Saul Wurman, What will be Has Always Been; Words of Louis I. Kahn (New York: Access,1986), 27. 28. Ibid.,189
see also:
http://calvin.cc.ndsu.nodak.edu/Arch/Kahn/Kahn.html
http://home.earthlink.net/~lkuper/arkitect/Kahn.html
http://www.skewarch.com/archi-lab/

ไม่มีความคิดเห็น: